SEM คืออะไร ? ต่างจาก SEO อย่างไรบ้าง ? แล้วควรเลือกทำ SEM หรือ SEO ดีนะ ?

เมื่อ :
ผู้เข้าชม : 6,807
เขียนโดย :
SEM คืออะไร ? ต่างจาก SEO อย่างไรบ้าง ? แล้วควรเลือกทำ SEM หรือ SEO ดีนะ ?
SEM คืออะไร ? ต่างจาก SEO อย่างไรบ้าง ? แล้วควรเลือกทำ SEM หรือ SEO ดีนะ ?
เมื่อ :
ผู้เข้าชม : 6,807
เขียนโดย :

SEM คืออะไร ? ต่างจาก SEO อย่างไรบ้าง ? แล้วควรเลือกทำ SEM หรือ SEO ?

เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาและเคยพบเห็นคำว่า SEO (Search Engine Optimization) ผ่านตากันมาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับผู้ที่อยู่ในแวดวง Marketing หรือวงการ Creative ต่าง ๆ ก็น่าจะเชี่ยวชาญกับการทำ SEO ให้ "ติดหน้าแรก" ของการค้นหาและดึงให้ผู้ที่สนใจเข้ามาอ่านเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของตนเองกันเป็นอย่างดี เพราะยิ่งมีคนกดเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรามากเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าภายในเว็บไซต์หรือซื้อโฆษณาบนเว็บของเรามากขึ้นเท่านั้น แต่นอกเหนือไปจาก SEO แล้ว SEM เองก็สำคัญไม่แพ้กันเลยทีเดียว

บทความเกี่ยวกับ Marketing อื่นๆ

เนื้อหาภายในบทความ

SEM (Search Engine Marketing) คืออะไร ?

คำว่า SEM นั้นย่อมาจาก "Search Engine Marketing" หรือการทำตลาดผ่าน เครื่องมือช่วยค้นหาบนอินเทอร์เน็ต (Search Engine) ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของเรา "ติดตลาด" และเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นโดยใช้ตัวช่วยสำคัญอย่าง "เงิน" เข้ามาทำการซื้อพื้นที่การโฆษณาให้เว็บไซต์ของเราอยู่บนหน้าแรก ๆ ของการค้นหา SERP (Search Engine Result Page)

เพราะในขณะที่การทำ SEO จะเน้นไปที่การวางค้นค้นหา (Keyword), การจัดวาง Layout รวมไปถึง การวางระบบหลังบ้านของเว็บไซต์ให้เหมาะสมเพื่อให้ Search Engine ต่าง ๆ ดึงเว็บไซต์ของเราไปปรากฏเป็นอันดับแรก ๆ ของการค้นหา

โดยการทำ SEM นั้นจะใช้การ "ประมูล Keyword" เพื่อซื้อพื้นที่โฆษณาบนหน้าการค้นหาของ Search Engine นั้น ๆ (เว็บไซต์ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าแรกของการค้นหาและมีแท็ก "Ads" ห้อยท้ายก็เป็นการทำ SEM ของเว็บไซต์นั้น ๆ นั่นเอง)

SEM และ SEO
ภาพจาก : https://augurian.com/blog/seo-vs-sem-differences/

การซื้อโฆษณาบน Search Engine หรือการทำ SEM นั้น ๆ จะต้องทำการประมูล "Keyword" ที่ต้องการให้โฆษณาเว็บไซต์ปรากฏเมื่อมีการค้นหาข้อความ (Keyword) บน Search Engine และจ่ายเงินตามจำนวนการคลิกเข้าใช้งานเว็บไซต์ PPC (Pay Per Click) ของผู้เยี่ยมชม ซึ่งราคาการประมูล Keyword นั้นก็จะขึ้นอยู่กับ "ความนิยม" ในการค้นหาของผู้ใช้งาน หากเป็น Keyword ยอดนิยมที่มียอดการค้นหาเยอะก็ยิ่งทำให้มีคู่แข่งที่ต้องการประมูลซื้อโฆษณาเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ส่วนลำดับของการโฆษณานั้นจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินสูงสุดต่อการคลิก (Maximum Cost Per Click) ที่เราพร้อมจะจ่ายให้กับทาง Search Engine โดยยิ่งกำหนดจำนวนเงินสูงมากเท่าไรก็จะยิ่งดันอันดับการโฆษณาของเว็บไซต์ให้ขึ้นสูงขึ้นตามการอัดฉีดเงิน

การจัดอันดับโฆษณาของ SEM
ภาพจาก : https://backlinko.com/hub/seo/seo-vs-sem

การทำ SEM จึงช่วยให้เว็บไซต์ของเราขึ้นไปปรากฏในหน้าการค้นหาข้อมูลของผู้ใช้คนอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อประมูล Keyword กับทาง Search Engine และจ่ายเงินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วทาง Search Engine ก็จะจัดการยิง Ads ของเว็บไซต์เราขึ้นไปด้านบนสุดของหน้าการค้นหาในทันที อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนหรือเพิ่ม - ลดการประมูล Keyword ต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ จึงทำให้เว็บไซต์ของเรามีผู้พบเห็นได้เป็นจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว

SEM ต่างจาก SEO อย่างไรบ้าง ?

SEM เร็วกว่า แต่ SEO อยู่นานกว่า

SEM สามารถดึงยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้รวดเร็วกว่า SEO แต่ยอดการเข้าชมของ SEO จะคงทนกว่า เนื่องจาก SEM ใช้การโฆษณาเพื่อขึ้นไปบนหน้าการค้นหาอันดับแรก ๆ ในขณะที่ SEO ใช้การดึง Keyword จากทาง Search Engine นั้น ๆ เพียงอย่างเดียว จึงทำให้เมื่อหยุดการประมูลโฆษณาไปก็ทำให้ยอดการเข้าชมของผู้ใช้หยุดชะงักลง

SEM เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ชัดกว่า SEO

การทำ SEM สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้พบเห็นหน้าเว็บไซต์ของเราได้ โดยจะสามารถกำหนดได้ตั้งแต่ช่วงอายุ พื้นที่ รายได้ และอื่น ๆ ส่วน SEO จะเป็นภาพรวมของผลการค้นหาทั้งหมด ไม่สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนได้

SEM สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้แสดงผลการโฆษณาได้
ภาพจาก : https://dsmartmarketing.com/google-ads-location-targeting/

ประเภทของ Keyword ที่ใช้ในการทำ SEM

การทำ SEM นั้นสามารถเลือกประมูล Keyword ที่ต้องการได้หลากหลายประเภทตามความต้องการของเรา โดยการเลือกใช้ Keyword นั้นก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการยิงโฆษณา ดังนี้

Broad Match

เป็น Keyword ในรูปแบบกว้าง ๆ ที่เมื่อผู้ใช้ทำการค้นหาข้อความบน Search Engine ก็จะดึงเอาผลลัพธ์ในภาพกว้าง ๆ รวมทั้งผลลัพธ์ของคำที่คล้ายคลึงกันขึ้นมาแสดงผล เช่น เมื่อค้นหาคำว่า "ร้านไอศกรีม" ก็อาจมีการแสดงผลลัพธ์การค้นหาทั้งคำว่า "ร้านไอศกรีม" และคำคล้ายคลึงกันอย่างคำว่า "ร้านไอติม" หรือ "ร้านไอศครีม" ร่วมด้วย

Broad Match Keyword
ภาพจาก : https://www.semrush.com/blog/keyword-match-types-for-seo-and-adwords-whats-the-difference/

Modified Broad Match

เป็น Keyword ที่มีขอบเขตการค้นหาที่แคบกว่า Broad Match โดยจะมีการแสดงผลเฉพาะคำที่เหมือนกับ Keyword นั้น ๆ เพียงอย่างเดียว แต่อาจมีคำต่อท้าย, คำนำหน้า หรือคำแทรกกลาง Keyword นั้น ๆ ที่แตกต่างกันออกไป เช่น "ร้านไอศกรีมโฮมเมด", "ร้านคาเฟ่ไอศกรีม" หรือ "ร้านกาแฟ ไอศกรีม" เป็นต้น

Phrase Match

เป็น Keyword ในรูปแบบวลี ที่มีการแสดงผลเฉพาะประโยคหรือวลีที่พิมพ์คำค้นหาลงไปโดยไม่มีคำอื่น ๆ มาแทรกระหว่าง Keyword นั้น ๆ เช่น เมื่อค้นหาคำว่า "ร้านไอศกรีม" ก็จะมีการแสดงผลการค้นหาเฉพาะคำว่า "ร้านไอศกรีม" เท่านั้น จะไม่มีคำอื่น ๆ มาแทรกกลางระหว่างคำว่า "ร้าน" และ "ไอศกรีม" แต่อาจมีคำต่อท้ายหรือขึ้นต้นได้ เช่น "ร้านไอศกรีม เจลาโต้", "สยาม ร้านไอศกรีม" หรือ "ร้านไอศกรีม อร่อย" เป็นต้น

Phrase Match Keyword
ภาพจาก : https://www.semrush.com/blog/keyword-match-types-for-seo-and-adwords-whats-the-difference/

Exact Match

เป็น Keyword แบบเฉพาะเจาะจง ที่จะมีการแสดงผลการค้นหาแบบเฉพาะเจาะจงที่ Keyword นั้น ๆ เพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่มีคำ ประโยค หรือวลีอื่น ๆ มาต่อท้าย จึงทำให้ Keyword ประเภทนี้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจงได้ง่ายที่สุด แต่ก็เสียเปรียบการทำ SEM ด้วย Keyword รูปแบบอื่น ๆ เพราะผู้ที่สนใจจะต้องพิมพ์คำค้นหาตรงตาม Keyword ที่กำหนดเอาไว้ทุกตัวอักษรเท่านั้น

Negative Match

เป็น Keyword ที่ไม่ต้องการให้ขึ้นโฆษณา มีการกรองคำที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากการค้นหา แต่การใช้งาน Negative Match ก็ต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างสูง เพราะหากเลือกใช้คำผิดก็อาจทำให้เสียเงินเปล่าได้ เช่น "ร้านไอศกรีมลับ" เมื่อมีคนค้นหาคำว่า "ร้านไอศกรีมลับ" ก็จะไม่แสดงผลเว็บไซต์ของเรา แต่หากค้นหาแค่คำว่า "ร้านไอศกรีมในห้าง" ก็จะยังมีการแสดงผลเว็บไซต์ของเราอยู่

ซึ่งการใช้ Negative Match จะช่วยคัดกรองกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราได้มากยิ่งขึ้นและลดการแสดงผลโฆษณาเว็บไซต์ของเรากับผู้ที่คาดว่าน่าจะไม่สนใจเว็บไซต์ของเราออกไปได้

ตัวอย่างแพลตฟอร์มที่ใช้ในการทำ SEM

Google Ads

แน่นอนว่าหนึ่งในแพลตฟอร์ม Search Engine ยอดนิยมอย่าง Google นั้นก็มาพร้อมกับเครื่องมือตัวช่วยในการทำ SEM อย่าง Google Ads ที่หลาย ๆ บริษัทให้ความไว้วางใจในการทำ SEM เพื่อโปรโมตเว็บไซต์กันเป็นอย่างดี โดยหน้าตาของ SEM ที่ทาง Google Ads ยิงโฆษณานั้นจะมีกรอบสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ด้านหน้าลิงก์เว็บไซต์ นอกจากนี้ โฆษณาแอปพลิเคชันบน Google Play Store เองก็เป็นส่วนหนึ่งของ Google Ads ด้วยเช่นกัน

สไลด์รูปภาพ

 Google AdsGoogle Ads (Play Store)

ภาพจาก : https://instapage.com/blog/bing-ads-vs-google-ads

Bing Ads

ทาง Microsoft เองก็มีเครื่องมือช่วยทำ SEM อย่าง Bing Ads ที่คอยยิงโฆษณาเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ทำการค้นหาผ่าน Bing ด้วยเช่นกัน โดยหน้าตาการโฆษณาของทาง Bing นั้นจะค่อนข้างแนบเนียนกว่าทาง Google ค่อนข้างมากทีเดียว เพราะในขณะที่ Google ตีกรอบโฆษณาเล็ก ๆ เอาไว้ให้ผู้พบเห็นสามารถแยกเว็บโฆษณาออกจากเว็บไซต์ปกติ ทาง Bing นั้นมีเพียงแค่คำว่า "Ad" เล็ก ๆ ด้านหน้าลิงก์เว็บไซต์เท่านั้น

Bing Ads
ภาพจาก : https://instapage.com/blog/bing-ads-vs-google-ads

Yahoo! Gemini

แม้ว่า Yahoo! Search จะเป็นบริการที่ดูแลโดยทาง Microsoft ไปเป็นที่เรียบร้อยแต่ก็มีเครื่องมือช่วยทำ SEM เป็นของตัวเองด้วยเช่นกัน โดยทางบริษัทระบุว่าการโฆษณาบนเว็บไซต์ Yahoo! Search นั้นจะแยกออกจาก Bing จึงเพิ่มบริการ Yahoo! Gemini ขึ้นมาให้ผู้ที่สนใจสามารถทำ SEM ผ่านเว็บไซต์ Yahoo! ได้โดยตรง ซึ่งการโฆษณาของ Yahoo! นั้นจะมีแท็กกำกับบริเวณมุมซ้ายบนของลิงก์เว็บไซต์

Yahoo! Gemini
ภาพจาก : https://in.advertising.yahoo.com/post/115277019711/yahoo-gemini-native-ads-yahoo-gemini-native-ads

Apple Search Ads

สำหรับทาง Apple นั้นก็มีเครื่องมืออย่าง Apple Search Ads ที่ช่วยให้การทำ SEM บน Apple Store เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบาย โดยการแสดงผลแอปพลิเคชันโฆษณาจะมีกรอบสีระบุไว้ด้านหน้าชื่อผู้พัฒนาแอปพลิเคชันนั้น ๆ

Apple Search Ads
ภาพจาก : https://skai.io/wp-content/uploads/2019/08/apple-search-ads-FB.png

ควรเลือกทำ SEO หรือ SEM ดีนะ ?

ถึงแม้ว่าการทำ SEM นั้นให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและฉับไวกว่าการทำ SEO แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรทุ่มเงินไปที่การซื้อโฆษณาเพื่อให้เว็บไซต์ของเราติดหน้าแรกของการค้นหาและละเลยการทำ SEO ไปแต่อย่างใด เพราะอีกปัจจัยที่ส่งผลให้อันดับการโฆษณาเว็บไซต์ของเรานั้นดีดขึ้นสูงก็ยังมีเรื่องของคะแนนความเกี่ยวข้อง หรือ คะแนนคุณภาพ (Quality Score) ของหน้าเว็บไซต์ของเรากับ Keyword ที่ประมูลซื้อโฆษณาไปด้วย เพราะหากทุ่มเงินประมูล Keyword ไปเป็นจำนวนมากแต่เนื้อหาภายในเว็บไซต์ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับ Keyword นั้น ๆ ทาง Search Engine ก็จะลดอันดับการโฆษณาลงเพราะเห็นว่าเว็บไซต์ของเรานั้น "ไม่มีความเกี่ยวข้อง" กับ Keyword ดังกล่าว

คะแนน Quality Score
ภาพจาก : https://www.spiralytics.com/blog/sem/

นอกจากนี้ หากใช้การทำ SEM เพียงอย่างเดียว เมื่อหมดระยะเวลาการประมูล Keyword ไปเป็นที่เรียบร้อย ทาง Search Engine ก็จะนำเอาโฆษณาของเว็บไซต์เราลงในทันทีและเลื่อนอันดับให้เว็บไซต์อื่น ๆ มีการแสดงผลแทนที่ขึ้นมา แต่หากทำ SEO ควบคู่ไปกับ SEM แล้วนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีตัวช่วยอย่างการโฆษณาจาก Search Engine เข้ามา แต่ชื่อของเว็บไซต์ของเราก็จะยังคงอยู่ในหน้าการค้นหาอันดับแรก ๆ ต่อไปแม้จะยกเลิกการซื้อโฆษณาไปแล้ว

ดังนั้นแล้ว สำหรับใครที่ต้องการโปรโมตเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้น ๆ ของหน้า SERP และมียอดเข้าใช้งานที่สูงขึ้นอย่างสม่ำเสมอแล้วนั้น การทำ SEM ควบคู่ไปกับ SEO ก็เป็นวิธีที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะมันจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้คนพบเห็นและคุ้นเคยกับเว็บไซต์ของเราได้มากกว่าการทำ SEO หรือ SEM เพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังทำให้เว็บไซต์ของเรามีเรท ในส่วนของ Quality Score ที่ดีและทำให้อันดับการแสดงผลโฆษณาสูงขึ้นตามไปด้วย