การตลาดโซเชียลมีเดีย คืออะไร? เริ่มต้นทำการตลาดออนไลน์อย่างไร?





การตลาดโซเชียลมีเดีย คืออะไร? ต้องเริ่มต้นอย่างไร?
ทุกธุรกิจ องค์กร ไม่ว่าจะเล็กใหญ่ ย่อมเคยผ่านประสบการณ์การทำการตลาดโซเชียลมีเดีย (Social Media Marketing) แต่ถ้าใครรู้สึกว่า เริ่มต้นแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จ หรือยังไม่รู้จะเริ่มต้นการตลาดแบบนี้อย่างไรดี จะถามหาผู้เชี่ยวชาญ ก็กลัวจะต้องเสียงบประมาณมากมาย เราขอสรุปเนื้อหาส่วนที่ควรรู้เกี่ยวกับการตลาดโซเชียลมีเดียแบบเข้าใจง่ายให้อ่านกัน
- Cyberbullying คืออะไร ? รู้ได้ไงว่ากำลังโดนกลั่นแกล้งอยู่ ? พร้อมวิธีรับมือ
- อาชีพ Influencer ดีจริงหรือไม่ ? ดู 7 ปัจจัยหลักที่ควรคำนึงก่อนเป็น
- Reels กับ Stories คืออะไร ? ต่างกันอย่างไร ? มีตารางเปรียบเทียบ
- Comment Marketing คืออะไร ? รู้จักการตลาดแบบปลิง และสิ่งที่ควร-ไม่ควรทำ
- 7 ผลเสียต่อสุขภาพจิต จากการใช้งาน Social Media เป็นประจำ
การตลาดโซเชียลมีเดียคืออะไร? (What is social media marketing ?)
การตลาดโซเชียลมีเดีย คือ การใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, X (เดิมชื่อ Twitter) TikTok และแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพื่อโปรโมตแบรนด์ นำเสนอสินค้าหรือบริการ ไปจนถึงการจัดจำหน่ายและอื่น ๆ อีกยิบย่อย
บางคนอาจคิดว่า การตลาดโซเชียลมีเดีย คือการโพสต์โปรโมตสินค้า โปรโมตร้าน สาขาเปิดใหม่ และลูกค้าก็จะอ่านเจอและสั่งซื้อทันที นั่นเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ แต่การตลาดโซเชียลมีเดียมีอีกหลายอย่างมาก ๆ เช่น การโต้ตอบกับลูกค้าผ่านคอมเมนต์ การเล่าถึงประวัติความเป็นมาของสินค้าแบบมีเรื่องราวน่าสนใจ ให้ผู้ที่อ่านเจอสนใจถึงเรื่องราวของสินค้านั้น ๆ
ภาพจาก: https://www.freepik.com/free-photo/social-media-marketing-concept-marketing-with-applications_36295051.htm
การตลาดโซเชียลมีเดีย ที่ดูเหมือนคิดง่าย ทำง่าย แต่จริง ๆ แล้ว ก็ไม่ง่ายในการเริ่มต้น แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถเช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจหรือนักการตลาด ก็ต้องวางแผน วางกลยุทธ์ เตรียมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการนี้
กลยุทธ์การตลาดโซเชียลมีเดียคืออะไร ? (What is a social media marketing strategy ?)
ถ้าอธิบายง่าย ๆ กลยุทธ์การตลาดโซเชียลมีเดีย ก็คือแผนงานการตลาด ซึ่งต้องวางแผนให้เข้ากับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจและเป้าหมายต่าง ๆ เช่น ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก กระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้น ฯลฯ ซึ่งในแผนงานดังกล่าว ก็จะมีเนื้อหาที่เหมาะกับสินค้า กลุ่มเป้าหมาย แพลตฟอร์มที่ใช้และอื่น ๆ ต่างกันออกไป
อย่างไรก็ตาม โซเชียลมีเดียแต่ละแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รองรับสื่อที่หลากหลาย เช่น Facebook รองรับทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ ในขณะที่ TikTok เน้นในเรื่องของวิดีโอสั้นที่มีแพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้า (TikTok Shop) การใช้โซเชียลมีเดียเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดหรือสำเร็จตามที่คาดหวัง ก็ต้องมีการวางแผนด้วยเช่นกัน ส่วนแผนที่วางไว้นั้นจะสำเร็จมากน้อยแค่ไหน นั่นคืออยู่กับตัวชี้วัดที่พิสูจน์ได้ด้วย
ตัวอย่างตัวชี้วัดของกลยุทธ์การตลาดโซเชียลมีเดีย
หมวดหมู่ | ตัวชี้วัด | ความหมาย |
Reach & Awareness | Reach | จำนวนผู้ใช้ที่เห็นโพสต์, โฆษณา |
Impression | จำนวนครั้งที่โพสต์ถูกแสดง | |
Follower Growth Rate | อัตราการเติบโตของผู้ติดตาม | |
Engagement | Engagement Rate | อัตราการมีส่วนร่วมเมื่อเทียบกับ Reach หรือ Follower |
Reactions, Comments, Shares | จำนวนการกดไลก์ คอมเมนต์ แชร์ | |
CTR (Click-through Rate) | อัตราการคลิกไปยังลิงก์เว็บไซต์ | |
Conversion & Leads | Conversion Rate | สัดส่วนผู้ที่ทำ Action ตามเป้าหมาย เช่น การซื้อสินค้า กรอกแบบฟอร์ม |
CPA (Cost per Acquisition) | ค่าใช้จ่ายต่อ 1 Conversion | |
Leads Generated | จำนวนลูกค้าเป้าหมายที่ได้จากแคมเปญ | |
Customer Loyalty | Repeat Engagement | จำนวนผู้ใช้ที่กลับมา Engage ซ้ำ |
CLV (Customer Lifetime Value) | มูลค่าลูกค้าระยะยาวที่มาจาก Social Media | |
Sentiment Analysis | วิเคราะห์ความรู้สึกของผู้ใช้ต่อแบรนด์ (บวก/ลบ/กลาง) | |
Efficiency & ROI | CPE (Cost per Engagement) | ค่าใช้จ่ายต่อ 1 Engagement |
ROAS (Return on Ad Spend) | ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา | |
Overall ROI | ผลตอบแทนรวมจาก Social Campaign |
ทำไมธุรกิจของคุณจึงควรมีการตลาดโซเชียลมีเดีย ? (Why should your business have social media marketing ?)
ตราบใดที่ธุรกิจยังต้องการรายได้และกำไร การตลาดโซเชียลมีเดียก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น แล้วทำไมธุรกิจจึงต้องทำการตลาดโซเชียลมีเดีย? มาดูกัน
1. ช่วยเพิ่มการรับรู้และการมีส่วนร่วมกับแบรนด์
หากแบรนด์ของคุณไม่เป็นที่รู้จัก ก็ต้องมีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ซึ่งการตลาดโซเชียลมีเดียก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เหมาะสม ในยุคที่โลกออนไลน์อยู่ในมือของทุกคน อย่างน้อยใครที่ไม่มี Social Media ใด ๆ อย่างน้อยก็ต้องสื่อสารผ่านแอปพลิเคชันแชทที่แสดงแบนเนอร์โฆษณา นำไปสู่เว็บไซต์หรือช่องทางออนไลน์ใด ๆ ยิ่งแบรนด์ต่าง ๆ แข่งขันผ่านช่องทางนี้ จึงทำให้ทุกแบรนด์ต้องพากันใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการตลอดออนไลน์โดยปริยาย
ยิ่งในปัจจุบัน สิ่งที่เติบโตควบคู่กับการตลาดโซเชียลมีเดีย คือ การตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์ ที่เป็นอีกวิธีสำคัญที่ช่วยเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ ทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น และช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วมของลูกค้ากับแบรนด์นั้น ๆ อีกด้วย
2. ส่งเสริมความไว้วางใจและความจริงใจของแบรนด์
โซเชียลมีเดียยังเป็นช่องทางที่แบรนด์สามารถสร้างเสริมความเชื่อมั่นและเสริมความจริงใจ ผ่านคอนเทนต์ที่แบรนด์คิด วิเคราะห์ วางแผน ไปจนถึงคอนเทนต์จากลูกค้า ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ รีวิวสินค้าหรือบริการจากผู้ใช้จริง คอนเทนต์ตอบปัญหาคาใจของลูกค้า หรือในบางธุรกิจ สามารถนำเรื่องราวของพนักงานมาสร้างเรื่องราวให้แบรนด์ดูน่าสนใจยิ่งขึ้นได้ด้วย
นอกเหนือจากคอนเทนต์แล้ว ช่องทางแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ก็เป็นตัวทำคะแนนที่ช่วยให้แบรนด์แสดงความจริงใจผ่านวิธีการแก้ปัญหา ความรวดเร็วในการตอบสนองต่อความคิดเห็น ซึ่งมีส่วนทำให้ลูกค้าไว้วางใจในแบรนด์เพิ่มขึ้น
3. สนับสนุนการวัดประสิทธิภาพ
หากไม่มีกลยุทธ์การตลาดโซเชียลมีเดีย เมื่อทำคอนเทนต์เผยแพร่ออกไป จะสามารถวัดผลได้เพียงยอดไลก์ ยอดแชร์ แต่ถ้ามี KPI เข้ามาวัดผล จะทำให้เห็นว่าคอนเทนต์ แคมเปญต่าง ๆ สามารถสร้างประสิทธิภาพได้ตามต้องการหรือไม่ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากน้อยแค่ไหน
ยกตัวอย่าง กลยุทธ์การตลาดโซเชียลมีเดีย เช่น ธุรกิจรีสอร์ท มีกลุ่มเป้าหมายเป็นครอบครัวที่มีสมาชิก 4-6 คน และคู่รัก ต้องการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ ก็ต้องมีการวาง Content Pillar ที่น่าสนใจและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย และวัดผล Engagement ในภายหลังว่าเข้าถึงและช่วยสร้างยอดจองที่พักหรือไม่
4. ช่วยเพิ่มรายได้ให้ธุรกิจ
นี่น่าจะเป็นเป้าหมายหลักของการทำธุรกิจเลยก็ว่าได้ ซึ่งการตลาดโซเชียลมีเดีย ทำได้ทั้งเป็นช่องทางการซื้อสินค้าหรือบริการ การเทียบราคา เทียบฟังก์ชันและสิ่งที่แตกต่างจากคู่แข่ง เข้าถึงลูกค้าใหม่ นำเสนอโปรโมชันสำหรับลูกค้าเดิมที่เข้ามาซื้อซ้ำ ไปจนถึงการแนะนำสินค้าใหม่ ๆ ช่วยเพิ่มยอดขายในอนาคต
นอกจากการเป็นช่องทางจัดจำหน่ายแล้ว โซเชียลมีเดียยังช่วยให้ธุรกิจสามารถนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่ช่องทางออฟไลน์ทำได้ยาก เช่น การสาธิตการใช้งานผ่านวิดีโอสั้น หรือการใช้ช่องทางแชทตอบคำถามและแก้ไขปัญหา ซึ่งอาจต่อยอดไปสู่การปิดการขายได้ในที่สุด
6 ขั้นตอน เริ่มต้นวางแผนการตลาดโซเชียลมีเดีย (6 Steps to Start Your Social Media Marketing Plan)
แล้วจะเริ่มต้นทำการตลาดโซเชียลมีเดียอย่างไรได้บ้าง? การเริ่มต้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถทุกคน เราได้ทำการสรุปขั้นตอนและอธิบายขยายความให้อ่านกัน
1. ตั้งเป้าหมายของการทำการตลาด และกำหนด KPI
ก่อนจะทำการตลาดโซเชียลมีเดีย ก็เหมือนทำการตลาดแบบอื่น ๆ คือ ต้องมีเป้าหมายว่าทำไปเพื่อให้ได้อะไรกลับมา ซึ่งเป้าหมายมีได้หลายอย่าง เช่น สร้างการรับรู้แบรนด์, เพิ่มยอดขายสินค้า, เพิ่มจำนวนผู้ติดตามช่องทางออนไลน์ ฯลฯ หากได้เป้าหมายที่ต้องการแล้ว ก็ต้องกำหนดตัวชี้วัดที่ใช้วัดผลแคมเปญ เช่น หากต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์ ให้เช็กจาก Reach, Impressions จำนวนที่โพสต์ปรากฎ หากทำเป็นคลิปวิดีโอสั้น สามารถวัดผลจากยอดวิวก็ได้ หรือถ้าต้องการยอดขายที่เพิ่มขึ้น ก็ต้องไล่วัดผลจาก Conversion ว่าลูกค้าซื้อสินค้ามากน้อยแค่ไหน
2. ศึกษากลุ่มเป้าหมายและเลือกแพลตฟอร์ม
การศึกษากลุ่มเป้าหมาย เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการทำการตลาด แต่การเลือกแพลตฟอร์มออนไลน์ สื่อที่เหมาะสม รวมถึงประเภทเนื้อหาที่ใช้ ก็ต้องเลือกควบคู่กับกลุ่มเป้าหมายเช่นกัน เช่น
- Facebook โซเชียลมีเดียที่เข้าถึงลูกค้า Gen Y นำเสนอคอนเทนต์ได้หลากหลาย ทั้งข้อความ ภาพ วิดีโอ ไปจนถึงแชร์เว็บไซต์เพื่อสร้าง Traffic
- Instagram สำหรับคอนเทนต์ที่เน้นเรื่องภาพเป็นหลัก และวิดีโอขนาดสั้น เหมาะกับแบรนด์ที่ขายไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ ไลฟ์สไตล์ผ่านภาพสวย ๆ สะกดใจลูกค้า
- X (Twitter) เป็นได้ทั้งช่องทางโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ไปจนถึงการบริการลูกค้า สามารถตอบโต้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
- YouTube แพลตฟอร์มวิดีโอ รองรับทั้งวิดีโอขนาดสั้นและยาว ซึ่งมีบริการ Affiliate เพื่อรองรับลูกค้าซื้อสินค้าร่วมด้วย
- TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอขนาดสั้นและถ่ายทอดสด เข้าถึงได้ทุกวัย และมี TikTok Shop สำหรับขายสินค้าพร้อมโปรโมชันพิเศษอีกด้วย
ภาพจาก: https://www.freepik.com/free-photo/social-media-marketing-concept-marketing-with-applications_36295039.htm
อีกวิธีหนึ่งของการเลือกแพลตฟอร์มและจัดกลุ่มเป้าหมาย คือ ใช้ข้อมูลจาก Social data, Analytics, CRM, Email ฯลฯ สำหรับธุรกิจที่รวบรวมข้อมูลลูกค้าเป็นประจำอยู่แล้ว เจ้าของธุรกิจสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์พฤติกรรม ความสนใจ จนกลายเป็นข้อมูลเชิงลึก (Insight) เพื่อนำไปต่อยอดและเข้าถึงลูกค้าอย่างตรงจุด
3. สร้างและคัดเลือกคอนเทนต์ที่น่าสนใจ
เข้าใจว่าเจ้าของธุรกิจทั้งหลายก็อยากขายของ แต่การขายของตรงไปตรงมามันก็ซ้ำซาก น่าเบื่อ และอาจทำให้ว่าที่ลูกค้ารู้สึกเชิงลบกับแบรนด์แทน แต่ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นสร้างคอนเทนต์อย่างไร คิดง่าย ๆ ก็คือการศึกษาจากคู่แข่ง, นำเสนอคอนเทนต์ในแง่มุมอื่น ๆ บ้าง เช่น จุดเด่นสินค้าที่ตรงกับ Pain Point (ปัญหา) ลูกค้าแต่ละกลุ่ม ฯลฯ
แต่อย่าลืมข้อแรก "การตั้งเป้าหมาย" ว่าทำไปเพื่ออะไร แม้คอนเทนต์บางประเภท ไอเดียบางอย่างจะน่าสนใจ แต่ถ้าไม่ตรงกับเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการ อาจเกิดการวัดผลไม่ถูกจุด นำไปสู่ความไม่ประสบผลสำเร็จของแคมเปญแทน
ตัวอย่างการวาง Content Strategy
แน่นอนว่าอ่านย่อหน้าข้างต้น อาจนึกไม่ออกกันแน่ ๆ ว่าควรวาง Content Strategy อย่างไร เราจึงขอยกตัวอย่างแบรนด์ร้านกาแฟ A ที่เน้นกลุ่มลูกค้าช่วงอายุ 25-38 ปี เน้นลูกค้าเพศชายเป็นหลัก
1. เป้าหมาย: สร้างการรับรู้แบรนด์ (Awareness)
- Content Pillar (แกนหลักของคอนเทนต์ที่จะนำเสนอ):
- Productivity & Coffee กาแฟกับการทำงานให้มีโฟกัส
- Lifestyle มีมุมสำหรับทำงาน อ่านหนังสือในร้าน
- Specialty Coffee บริการเลือกเมล็ด, เทคนิค Brew ที่แตกต่าง
- Brand Voice (สไตล์การสื่อสารของแบรนด์ ที่แบรนด์ต้องการสร้างภาพจำให้ลูกค้า):
- สุขุม มีเหตุผล แต่แฝงความคูล ดูเข้าถึงได้ง่าย (เหมือนคุยกับเพื่อนร่วมงานที่รู้เรื่องกาแฟ)
- Hashtag: #CoffeeAndWork #กาแฟผู้ชายสายโฟกัส #SlowBarMan
- Format (รูปแบบของคอนเทนต์):
- Short-form video: วิธีเลือกกาแฟก่อนประชุมเช้า
- Reels/Carousel: Quote + Tips การทำงาน + กาแฟคู่กัน
- Timeliness (ช่วงเวลาที่ควรโพสต์): โพสต์ช่วง 7.00–9.00 น. (ช่วงเช้าก่อนเข้าทำงาน) และ 12.00–13.00 น. (พักกลางวัน)
2. เป้าหมาย: เพิ่มยอดขาย (Sales Conversion)
- Content Pillar (แกนหลักของคอนเทนต์ที่จะนำเสนอ):
- โปรโมชั่นสำหรับหนุ่มออฟฟิศ เช่น กาแฟอเมริกาโน่ เมื่อซื้อคู่กับเบเกอรี่ลด 20% ก่อน 9 โมงเช้า
- Corporate set บริการ Delivery หรือจัดชุดพิเศษสำหรับลูกค้าบริษัท
- Loyalty Program มีระบบสะสมแต้ม เพื่อดึงดูดลูกค้าจรให้เป็นลูกค้าประจำ
- Brand Voice (สไตล์การสื่อสารของแบรนด์ ที่แบรนด์ต้องการสร้างภาพจำให้ลูกค้า)
- กระชับ ตรงไปตรงมา เหมือน Pitch งาน เน้นที่ Value & Benefit
- Hashtag: #BlackCoffeeDeal #CoffeeBeforeMeeting #StrongLikeYou
- Format (รูปแบบของคอนเทนต์):
- IG Story, Facebook Post: Flash Sale กาแฟตอนเช้า
- Timeliness (ช่วงเวลาที่ควรโพสต์): โพสต์โปรโมชันช่วงเช้า (6.30–8.30 น.) และช่วงเย็น 17.00–19.00 น.
4. ทำงานร่วมกับ Influencers
ในยุคที่ Influencer มีทั่วทุกหัวระแหง หลาย ๆ แบรนด์ก็ใช้พรีเซนเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ KOL ช่วยโปรโมตสินค้าและบริการ แต่จะใช้งาน Influencer อย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ลองดูเคล็ดลับเหล่านี้ก่อน
ภาพจาก: https://www.freepik.com/free-photo/influencer-posting-social-media_20728302.htm
- เลือก Influencer ที่ตรงกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ เข้ากัยเป้าหมายการทำการตลาดที่วางไว้ รวมถึงศึกษากลุ่มเป้าหมายและแพลตฟอร์มที่ใช้ให้สอดคล้องกัน หาก Influencer ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจ เชื่อถือในแบรนด์ ก็ถือว่ามีชัยไปก้าวหนึ่งแล้ว
ส่วนใครที่คิดว่า ทำไมไม่เลือก Influencer จากชื่อเสียง, ยอด Follower หรือยอด Engagement จากคอนเทนต์ จริง ๆ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ใช้เลือก Influencer ให้เข้ากับแบรนด์ได้เช่นกัน แต่ในภาพรวม การเลือก Influencer ที่เสริมภาพลักษณ์ด้านบวกให้แบรนด์ ก็เป็นข้อสำคัญที่ควรพิจารณา - เลือก Influencer ที่ดูจริงใจ และเชื่อมโยงเข้ากับสินค้า ยิ่งเป็น Influencer ที่มีความเข้าใจสินค้า ได้ใช้งานสินค้าจริงจนสามารถถ่ายทอดได้เป็นธรรมชาติ ยิ่งเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
- แต่ถ้าแบรนด์ของคุณ เจาะกลุ่มลูกค้า Gen Z เป็นหลัก อาจต้องเลือก Influencer ที่โพสต์คอนเทนต์สม่ำเสมอ มีกลุ่มแฟนคลับติดตามประมาณหนึ่ง เพราะความเป็น Influencer ที่มีตัวตนจริง เป็นสิ่งสำคัญสำหรับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้
5. ทำงานร่วมกับทีมอื่น ๆ นอกจากทีมการตลาดและผู้บริหาร
เพราะทีมการตลาดไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกบางประการได้ หากขาดข้อมูลจากทีมเหล่านี้ ฉะนั้น จึงเป็นข้อดีที่ทีมการตลาดจะได้ทำงานร่วมกับทีมอื่น ๆ เช่น
- ทีม Sales: ทีมที่เข้าถึงลูกค้าโดยตรง สามารถแชร์ Insight และบทสนทนาจากลูกค้าให้ทีมการตลาดนำไปพัฒนาแผนและกลยุทธ์ได้
- ทีม Product และ Merchandising: ทีมที่สามารถรวบรวม Feedback ความคิดเห็นจากช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อนำไปพัฒนาสินค้าต่อได้
- ทีม Customer Service: เป็นทีมที่ได้สัมผัสประสบการณ์จากลูกค้าโดยตรงเช่นกัน สามารถพัฒนาการบริการลูกค้าได้จากข้อมูล ความประทับใจ เหตุที่ต้องปรับปรุง ไปจนถึงข้อมูลอื่น ๆ เช่น เวลาในการตอบกลับ รอข้อมูลระหว่างแบรนด์และลูกค้า เป็นต้น
6. ประเมินและปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์
การตลาดโซเชียลมีเดีย ไม่ใช่สิ่งที่วางแผนครั้งเดียว ทำครั้งเดียวแล้วจบไป แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำสม่ำเสมอ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างน้อยก็คอยสังเกตว่า โพสต์ไหน แคมเปญใดมีคนสนใจ กดไลก์กดแชร์เป็นจำนวนมาก หากมีคอมเมนต์จากลูกค้า เป็นคอมเมนต์สนใจสินค้าหรือแนะนำ ติชมการให้บริการ ข้อมูลใด ๆ ในการทำการตลาดออนไลน์ล้วนมีความสำคัญ สามารถปรับเปลี่ยนในจุดเล็ก ๆ ได้ทันที และปรับแผนครั้งใหญ่ในช่วงรายเดือนหรือไตรมาส และอย่าลืมวัดผล KPI ด้วยว่า เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้มากน้อยแค่ไหน
สรุป การตลาดโซเชียลมีเดีย คืออะไร ? ต้องเริ่มต้นอย่างไร ? (What is Social Media Marketing ? How Do I Get Started ?)
การตลาดโซเชียลมีเดียในปี ค.ศ. 2025 (พ.ศ. 2568) เป็นเครื่องมือ กลยุทธ์ที่จำเป็นสำหรับธุรกิจ แต่ก็ไม่สายเกินไป หากธุรกิจของคุณยังไม่เริ่มต้นสิ่งนี้ นอกจากการทำความเข้าใจและเริ่มต้นวางแผน การทำงานรวมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดี เพราะถือว่ามีผู้ช่วยที่ทำให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ไปจนถึงยอดขายและชื่อเสียงที่เพิ่มจากเดิม
สิ่งสำคัญที่สุดในการทำการตลาด คือ การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เลือกแพลตฟอร์มให้เหมาะสม และสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าสำหรับกลุ่มเป้าหมาย เมื่อผสมผสานกับการวัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ธุรกิจของคุณใช้โซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน